วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 เรื่องน่ารู้ ของ บลูมูน หรือ พระจันทร์สีน้ำเงิน



พนะจันทร์สีน้ำเงิน bluemoon เกร็ดความรู้


เกร็ดความรู้ : พระจันทร์สีน้ำเงิน หรือ Blue Moon คืออะไร?
1. ที่มาของ บลูมูน ?
เนื่องจากใน 1 ปี มี 12 เดือน และบางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน แต่ว่ารอบของดวงจันทร์มีเพียง 29.53059 วันต่อเดือน และใน 1 ศตวรรษจะมีทั้งหมด 1200 เดือน โดยจะเกิดดวงจันทร์เต็มดวงได้ถึง 1236.83 ครั้ง แต่จะเป็นบลูมูนแค่ 36.83 ครั้ง เฉลี่ยแล้วประมาณ 2.72 ปีต่อครั้ง หรือประมาณ 3% ของฟูลมูน จะเป็นบลูมูน
2. การเกิด บลูมูน ?
ปีละ 2 ครั้งในทุก ๆ 19 ปี ซึ่งปีล่าสุดที่เกิดบลูมูน 2 ครั้งซ้อนในหนึ่งปี (Double Blue Moons) ก็คือปี พ.ศ. 2542 และถัดไปคือปี พ.ศ. 2561 นานไปยาวๆเลยคะ ..
3. ”once in a blue moon” 
มีสำนวนอังกฤษเก่าแก่อยู่ประโยคนึงที่ภาษาฝรั่้งเขาพูดถึง “Blue Moon”  หรือ พระจันทร์สีน้ำเงิน ในประโยคที่ว่า  “once in a blue moon” คำ นี้ฝรั่งใช้เป็นสำนวนเปรียบเหมือน เจ้าดวงจันทร์แสงน้ำเงิน ที่นานๆ จะเกิดขึ้่นให้คนเราได้เห็นกันซักทีนึง  พอมันเห็นยากเย็นแสนเข็ญ ความหมายของภาษาฝรั่งก็คือ อะไรที่มัน  เกิดขึ้นได้ยากมาก นานๆเกิดขึ้นที หายาก หาเจอได้ยากมากสุดๆ
once     แปลว่า ครั้งเดียว เกิดขึ้นเพียงครั้งหนึ่งครั้งเดียว  เกิดขึ้นครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
blue     แปลว่า สีน้ำเงิน สีบลู
moon  แปลว่า  พระจันทร์ ดวงจันทร์  โลกพระจันทร์ จันทรา  ถ้าภาษาอีสานบ้านเฮาเรียก อีเกิ้ง 555
พนะจันทร์สีน้ำเงิน bluemoon เกร็ดความรู้  

4.  ปรากฏการณ์ พระจันทร์สีน้ำเงิน หรือ บลูมูน ก็มีเพลงเป็นของตัวเองด้วย!
เพลง  Blue Moon  แต่งขึ้นมาโดย Richard Rodgers และ Lorenz Hart  มาตั้งแต่ปี 1933 โน่นน่ะ   มีคนร้องต่อเนื่องมากมาย ฮิตกันสุดๆ  ถ้าเพื่อนๆอยากฟังก็ลองหาดูใน ยูทูบ (Youtube) นะคะ ^^
5. ผู้ชายรู้ดี! เพลง Blue moon เป็นเพลงประจำทีมแมนซิตี้
อันนี้ ผู้ชาย คงจะรู้กันดีแน่นอน! สำหรับคนที่ชอบเล่นบอล (กีฬานะจ๊ะ!!) เชียร์บอล เพลง Blue moon นี่กลายมาเป็นเพลงประจำทีมแมนซิตี้   (Manchester City Football Club)  และเพลงนี้จะร้องกันกระหึ่มมากในสนาม เพราะเวลาแมนซิลงแข่งจะมีแฟนบอลไปเชียร์เยอะ เพราะเป็นทีมฟุตบอลขึ้นชื่อลือชาว่ามีแฟนคลับเหนียวแน่นที่สุดทีมนึงในทีม พรีเมียร์ลีก จริงอ๊ะป่าว??
6. การเกิด พระจันทร์สีน้ำเงิน หรือ บลูมูน
วันที่ เดือน ปี (พ.ศ.) เวลาสากล(UT) เวลาประเทศไทย
30 มิถุนายน 1996 (2539) 10:35 17:35
31 มกราคม 1999 (2542) 16:06 23:06
31 มีนาคม 1999 (2542) 22:49 05:49 (1 เม.ย.)
30 ธันวาคม 2001 (2544) 20:51 03:51 (31 ธ.ค.)
31 กรกฎาคม 2004(2547) 18:06 01:06 (1 ส.ค.)
30 มิถุนายน 2007 (2550) 13:50 20:50
31 ธันวาคม 2009 (2552) 19:14 02:14 (1 ม.ค.)
31 สิงหาคม 2012 (2555) 13:58 20:57

7. ข้อสังเกตง่ายๆ ว่าปีนั้น บลูมูน จะเกิดกี่ตรั้ง?
ถ้าเห็นพระจันทร์เต็มดวงก่อนวันที่ 11 มกราคม แสดงว่าปีนั้นจะมีพระจันทร์เต็มดวงมากถึง 13 ครั้ง และจะต้องมีเดือนใดเดือนหนึ่งที่มีพระจันทร์เต็มดวงซ้อนกันถึง 2 ครั้ง หรือถ้าในบางปีที่พระจันทร์เต็มดวงมีก่อน 11 มกราคมแต่ไม่ปรากฏในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นไปได้ว่าเราจะได้เห็นบลูมูนถึง 2 ครั้งแบบเดือนเว้นเดือน และในเดือนกรกฎาคมที่เรากำลังยืนอยู่นี้ ก็มีคืนพระจันทร์เต็มดวงไปแล้วเมื่อต้นเดือน คือวันที่ 1 และจะมีอีกรอบเมื่อวันเสาร์ที่ 31 ที่กำลังจะมาถึงนี้ และก็เข้าแก๊บของการเกิด “พระจันทร์สีน้ำเงิน” พอดิบพอดี
8. บลูมูน สีของพระจันทร์เป็นสีน้ำเงินรึเปล่า?
วันที่เกิดพระจันทร์เต็มดวงจะไม่มีผลต่อสีของดวงจันทร์ เอ๊ะยังไง? .. แม้ในวันที่ 31 ที่จะถึงนี้จะเป็นคืนบลูมูน แต่พระจันทร์ในคืนนั้นเราก็จะมองเห็นเป็นดวงกลมๆ สีเทาๆ ราวไข่มุกเหมือนในทุกๆ คืนที่ที่ผ่านมา (อ้าว !!)
ปรากฏการณ์ พระจันทร์สีน้ำเงิน

9. พระจันทร์สีน้ำเงินที่เห็นกันอยู่ทุกคืน ต่างกับ บลูมูน ยังไง?
บางทีก่อนหน้านี้ เราจะมองเห็นดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงินกันอยู่แล้วทุกค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นเต็ม ดวง ครึ่งดวง หรือว่าค่อนดวง ยกเว้นในบางคืนที่ดวงจันทร์จะกลายเป็นสีเขียว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ในปี 1883 เป็นปีที่ภูเขาไฟ “กรากาตัว” (Krakatoa) ที่อินโดนีเซียระเบิดขึ้นตูมใหญ่ราวกับทิ้งนิวเคลียร์ขนาด 100 เมกาตัน ส่งผลให้ลาวาและฝุ่นควันพุ่งกระจายออกไปไกลถึง 600 กิโลเมตรเถ้าของภูเขาไฟพวยพุ่งขึ้นสูงไปถึงชั้นบรรยากาศ นั่นจึงทำให้พระจันทร์เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
    ในขี้เถ้าของภูเขาไฟกรากาเตา คลุ้งจนกลายเมฆฝุ่นซึ่งผสมด้วยอนุภาคเล็กๆ ขนาด 1 ไมครอน (1 ส่วน 1 ล้านเมตร) ซึ่งอนุภาคเหล่านี้มีความกว้างมากกว่าความยาวคลื่นของแสงสีแดงกระจัดกระจาย อยู่ทั่วไปในอากาศ (ความยาวคลื่นของแสงแดงคือ 0.7 ไมครอน) ดังนั้นเมื่อแสงสีขาวที่เคยตกกระทบดวงจันทร์ก่อนส่งมาที่ดวงตาของเราต้อง ผ่านอนุภาคเหล่านี้ก่อน แสงสีแดงก็จะกระเจิงหายไป เหลือแต่เพียงแค่ 2 แสงคือ แสงสีน้ำเงินและแสงสีเขียว
พระจันทร์ยังคงเป็นสีน้ำเงินเช่นนี้อยู่อีกนานหลายปีหลังจากเกิด เหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะมีเขม่าควันจากภูเขาไฟอีกหลายแห่ง แม้จะไม่แรงเท่ากรากาตัว แต่ก็มีส่วนทำให้ดวงจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงินต่อๆ ไปไม่ว่าจะเป็นในปี 1983 หลังจากภูเขาไฟเอล ชิชอน (El Chichon) ในเม็กซิโกระเบิดขึ้น และก็มีรายงานว่าพบพระจันทร์สีน้ำเงินหลังจากภูเขาไฟเซ็นต์เฮเลน (St. Helens) ระเบิดในปี 1980 และภูเขาไฟพินาตูโบ (Pinatubo) ระเบิดในปี 1991 นอกจากฝุ่นควันจากปล่องภูเขาไฟแล้ว ไฟป่าก็มีส่วนพ่นควันที่มีอนุภาคเหล่า นี้ออกมา ทำให้เห็นดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงินได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่าทางทิศตะวันตกของสหรัฐจะเกิดไฟป่าขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ และถ้าไฟโหมหนักมากพอที่จะเกิดฝุ่นควันจำนวนมาก พร้อมๆ กับมีอนุภาคขนาด 1 ไมครอนปนอยู่พวกเราก็จะสามารถเห็นดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงินสมใจ
พนะจันทร์สีน้ำเงิน bluemoon เกร็ดความรู้  

10.  ทิศไหนเห็น บลูมูน ชัดที่สุด!
ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คือจุดที่จะมองเห็นดวงจันทร์แบบเต็มๆ นับเป็นโอกาสอันดีที่ หลัง เวียนเทียนอาสาฬหบูชาจบ ประมาณตี 1 นิดๆ ลองแหงนหน้าขึ้นฟ้าลุ้นกันดูว่าดวงเดือนกลางเวหาจะกลายเป็นสีอะไร เผื่อว่าสายตาจะได้บันทึกภาพแห่งความทรงจำ “ครั้งหนึ่งกับพระจันทร์สีน้ำเงิน”

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันต้องห้ามตามความเชื่อโบราณ

ขึ้นบ้านวันเสาร์,เผาผีวันศุกร์,โกนจุกวันอังคาร...

หลาย ท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างจากผู้ใหญ่บางท่านถึงวันต้องห้ามเหล่านี้ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถตอบเราได้ว่า ทำไมถึงต้องห้ามวันเหล่านี้ทำการดังกล่าว บางครั้งท่านอาจจะตอบว่าเพราะโบราณท่านถือ แต่ทำไมถึงต้องถือเอาวันดังกล่าว ด้วยเหตุผลอันใดหรือ? บางข้ออาจจะมีเหตุและผลที่ยังพอหลงเหลืออยู่ว่าทำไม แต่วันต้องห้ามบางวันก็ไม่ทราบถึงเหตุผลดังกล่าว ยังไงก็ตามคติความเชื่อเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณ เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ?

ขึ้นบ้านวันเสาร์
เนื่อง จากว่าวันเสาร์ตามหลักโหราศาสตร์แล้วถือกันว่าเป็นวันแห่งโทษทุกข์ และดาวเสาร์ยังจัดเป็นดาวแห่งบาปเคราะห์อีกด้วยแต่การขึ้นบ้านใหม่ ต้องการความร่มเย็น ความสุขและความมั่นคงถาวร ความเจริญ ดังนั้นคนโบราณจึงห้ามมิให้ประกอบพิธีเกี่ยวกับการปลูกสร้าง บ้านเรือน เช่น การยกเสาเอก วางศิลาฤกษ์ เปิดป้ายอาคาร หรือแม้กระทั่งการย้ายเข้าสู่บ้านใหม่

เผาผีวันศุกร์
ตาม คติโบราณท่านห้ามทำการฌาปนกิจศพกันในวันศุกร์ เพราะชื่อของวันศุกร์นั้น ไปคล้องจองกับคำว่า "สุข" ดังนั้นเมื่อเอาความสุขไปให้คนตาย เป็นการกระทำอันไม่เป็นมงคล ความทุกข์ทั้งหลายก็จะต้องตกมาถึงคนเป็นหรือผู้ที่ทำการดังกล่าว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ดาวศุกร์เป็นดาวรื่นเริง บันเทิงใจ ดาวสังคม และความรัก ซึ่งตรงกันข้ามกับความทุกข์ ความหม่นหมอง ดังนั้นคนโบราณจึงได้ห้ามการกระทำดังกล่าวเอาไว้และมีคำพูดที่ให้ท่องกันติด ปากว่า "เผาผีวันศุกร์ ให้ทุกข์คนยัง"

โกนจุกวันอังคาร
วัน อังคารนั้นถือว่าเป็นวันแรงวันหนึ่ง เพราะดาวอังคารคือดาวแห่งเทพเจ้าของสงคราม คนโบราณท่านว่าวันเจ้าแห่งสงครามนี้เหมาะแก่การออกรบหรืองานที่ต้องการความ แข็งแกร่ง ความเด็ดขาดมากกว่า ไม่ควรใช้วันดังกล่าวเพื่อกระทำการที่เป็นมงคล หรือต้องการความร่มเย็น ความผาสุก และลาภผลต่างๆ เช่นการโกนจุก การขึ้นบ้านใหม่ พิธีมงคลสมรส เป็นต้น เพราะถ้าหากนำวันนี้ไปใช้แล้วก็อาจจะมีการทะเลาะวิวาทกัน หรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็ได้ เพราะดาวอังคารยังจัดเป็นดาวแห่งอุบัติเหตุอีกด้วย

แต่งงานวันพุธ
ใน ทางโหราศาสตร์เราจะรู้ได้ว่า ดาวพุธเป็นดาวแห่งความแปรปรวน มักมีการโคจรที่ผิดปรกติอยู่เสมอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวช้า เดี๋ยวเดินเร็ว แต่สักพักกลับเดินถอยหลัง ด้วยสาเหตุดังกล่าวคนโบราณจึงถือว่าดาวพุธเป็นดาวที่หาความแน่นอนและความ มั่งคงไม่ได้ จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้วันนี้เป็นวันประกอบพิธีมงคลสมรส เพราะอาจจะทำให้คู่บ่าวสาวมีจิตใจที่โลเล ไม่มั่นคงกับคู่ครองของตนเอง ซึ่งจะนำพาไปสู่การนอกใจและหย่าร้างกันในที่สุด

พุธห้ามตัด, พฤหัสห้ามถอน
วัน พุธห้ามตัดผม และตัดไม้ เพราะวันพุธเป็นวันแห่งการเจริญเติบโตและวิวัฒนาการ ถือว่าถ้าตัดผมวันพุธจะทำให้ปัญญาทราม ส่วนวันพฤหัสนั้นเป็นวันครูเป็นวันที่นิยมเรียนวิชา ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรือง ดังนั้นไม่ควรถอน หรือโค่นทำลายสิ่งใดๆก็ตาม และในวันพฤหัสนี้ทางโบราณยังห้ามเรื่องการแต่งงานอีกด้วย เพราะวันนี้คือวันครู ดังนั้นไม่ควรกระทำการดังกล่าวในวันนี้เพราะถือว่าเป็นการไม่เคารพนับถือครู บาอาจารย์

สงฆ์ 14, นารี 11
ความ หมายคือ ท่านห้ามมิให้ทำการใดๆ ให้แก่พระสงฆ์ ในวันขึ้น 14 ค่ำ และแรม 14 ค่ำทั้งสิ้น เช่น การบวชนาค การอุปสมบท และการฉลองพระเป็นต้น เพราะถือกันว่าวันนั้นเป็นวันโกน พระสงฆ์ทุกรูปจะต้องปลงผมในวันนั้น ถือเป็นการตัดราศีของพระท่าน จึงไม่ควรให้ท่านทำการมงคลใดๆ ส่วนนารี 11 โบราณท่านห้ามมิให้ทำการใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศในวันขึ้น 11 ค่ำและวันแรม 11 ค่ำ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสมาคมสตรี เปิดโรงเรียนสตรี หรือเปิดหอพักสตรีก็ตาม

ความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ เป็นเพียงความเชื่อโบราณซึ่งท่านถือเป็นคติสืบต่อกันมา จริงๆ แล้วความเชื่อเกี่ยวกับวันต้องห้ามของโบราณนั้นยังมีอยู่อีก แต่เป็นความเชื่อที่เรามักจะไม่เคย หรือเคยได้ยินมาบ้าง ไม่บ่อยเท่าวันต้องห้ามดังกล่าวเหล่านี้ เราซึ่งอยู่ในยุคปัจจุบัน ยังคงไม่สามารถหาเหตุผลได้ถึงคติความเชื่อเหล่านี้ว่าทำไม คนโบราณถึงต้องกำหนดกะเกณฑ์วันทำการดังกล่าวว่าวันนี้ทำได้หรือไม่ได้ โดยใช้เหตุผลของท่าน อย่างไรก็ตามคนไทยกับความเชื่อในหลายๆ เรื่องก็ยังคงแยกกันไม่ขาดแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ตาม

ความลับของ Google ที่คุณต้องรู้

 ใน ยุคที่เศรษฐกิจทรุดตัวลงเป็นผล ให้ภาคธุรกิจหลายต่อหลายรายต้องพลิกผันจาก จุดสูงสุดมาเข้าสู่ช่วงวิกฤติของการเอาตัวรอดในช่วงมรสุมดังกล่าว แต่หนึ่งในไม่กี่รายที่ไม่ประสบ ปัญหาดังกล่าวได้แก่ Google จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงแค่โปรเจ็กต์เล็กๆ ในมหาวิทยาลัยเมื่อ 5 ปีก่อน ปัจจุบัน Google กลายเป็นเสิร์ชเอนจินที่ได้ รับความนิยมสูงสุดชนิดที่เรียกว่าทิ้งคู่แข่งแบบห่างชั้น จากการยืนยันของ Nielsen Netratings โดยใช้การสำรวจจากหน้าอินเทอร์เน็ตที่มีความสำคัญสูงสุด 5 อันดับแรก เฉพาะในประเทศเยอรมนีประเทศเดียวก็มีผู้ใช้บริการ Google ถึง 14 ล้านคนต่อวัน


เคล็ดลับเด็ดๆ สำหรับ Google
              แทบจะไม่มีใครที่ใช้งาน Google ได้อย่างเต็มความสามารถ เช่น ความสามารถในการค้นหาที่ละเอียดยิ่งขึ้นโดยการกำหนดตัวแปรต่างๆ ในการค้นหา ยิ่งไปกว่านั้นคือ Google สามารถแปลหน้าเว็บไซต์ได้ แสดงราคาหุ้นได้ และยังสามารถคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ได้อีกด้วย หน้าเว็บไซต์ที่ดูเรียบง่ายของ Google อาจ จะทำให้คุณคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังหน้าดังกล่าวมี ฟังก์ชันที่ถูกซ่อนเอาไว้มากมายเพียงใด

? ค้นหาโดยระบุคำสั่งพิเศษ
              คุณอาจเคยพบเห็นอยู่บ่อยๆ ว่า ในการค้นหาข้อมูลทั่วไปมักจะมีรายการของผลการค้นหาที่ไม่มีประโยชน์ติดมา ด้วยเสมอ ซึ่งคุณสามารถที่จะลดจำนวนข้อมูลที่พบได้โดยใช้การค้นหาแบบ Advanced Search (ค้นหาแบบละเอียด) เพื่อบอก ให้ Google จำกัดขอบเขตการค้นหาให้เหลือเฉพาะหน้าเว็บไซต์ที่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ในช่วง 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 12 เดือน ที่ผ่านมาเท่านั้น นอกจากนี้แล้วคุณยังกำหนดรูปแบบเอกสารของผลการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงได้อีก ด้วย เช่น ต้องการผลเป็นไฟล์ PDF หรือไฟล์ในรูปแบบของ Office และจำกัดการค้นหาหน้าให้อยู่ในประเภทของเว็บไซต์หรือโดเมนที่ต้องการเท่า นั้นได้เช่นกัน ซึ่งคุณสามารตรวจสอบ ชนิดของไฟล์ที่ Google สามารถค้นหาให้ได้ที่หน้าเว็บไซต์ www.google.com/help/faq_filetypes.html หรือคุณต้องการให้ Google ช่วยค้นหาสิ่งที่คุณต้องการเป็นพิเศษ ดังเช่น รูปภาพต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน

? ค้นด้วยคำที่มีความหมายเหมือนกัน
              บ่อยครั้งที่คำจำกัดความตัวหนึ่งจะให้ผลการค้นหาที่ดีกว่าคำอีกคำหนึ่ง ทั้งๆ ที่ความหมาย ของคำทั้งสองนั้นเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่ไม่ จำเป็นที่คุณจะต้องมานั่งปวดหัวเพื่อคิดหาศัพท์ คำอื่นมาทดแทนคำที่คุณต้องการ เพราะคุณสามารถปล่อยให้ Google ช่วยคิดแทนคุณได้ โดยให้คุณใส่เครื่องหมาย Tilde (~) หน้าคำที่ต้องการ ค้นหาโดยไม่ต้องเว้นวรรค Google จะค้นหาคำ Synonym ของคำที่คุณค้นหาให้ด้วย

? ใช้ Google ช่วยแปล
              แม้ว่า Google จะไม่สามารถทำลายกำแพงในเรื่องของข้อจำกัดด้านภาษาได้ แต่ก็สามารถช่วยให้คุณทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ให้คุณคลิกที่ Language Tools (เครื่องมือเกี่ยวกับภาษา) ที่หน้า แรกของ Google เพื่อเปิดการทำงานของตัวแปล ภาษา ซึ่งคุณสามารถพิมพ์ข้อความเข้าไปเพื่อให้ Google แปลข้อความดังกล่าวให้คุณได้หลากหลายภาษาด้วยกัน เช่น แปลจากภาษาเยอรมนี เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส หรือแปลข้อความจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาสเปน, โปรตุเกสหรือภาษาอิตาลี และอีกหลายภาษา แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีบริการสำหรับแปลภาษาไทย
             ความสามารถที่ยังโดดเด่นไปกว่านั้นก็คือ Google สามารถแปลเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าได้ โดยคุณสามารถใส่ชื่อ URL ที่คุณต้อง การให้ Google แปลลงในกรอบ Translate the Website ในหน้าของ Language Tools หรือคลิกที่ลิงก์ Translate this Website ของหน้าเว็บไซต์ที่ Google ได้ค้นหาออกมาแล้ว Google จะใช้โปรแกรมในการแปลออกมา ซึ่งบ่อยครั้งที่ข้อความที่แปลออกมาจะฟังดูตลกหรือฟังไม่รื่นหูไปบ้าง แต่หากคุณต้องการผลการแปลที่ดีกว่านี้ควรเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Babelfish (http://babelfish.altavista.com) แทน ซึ่งตัวแปลภาษา Altavista ตัวนี้ใช้โปรแกรมในการแปลของ Systran ที่ค่อนข้างใหม่กว่าของ Google และมีประสิทธิภาพในการแปลที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ข้อดีอีกข้อหนึ่งก็คือ Babelfish สามารถเข้าใจได้ หลายภาษามากกว่า Google และสามารถแปล ภาษาญี่ปุ่น, เกาหลีและจีนไปเป็นภาษาอังกฤษได้อีกด้วย

? ค้นหาเฉพาะกลุ่ม
              โดยแท้จริงแล้วต้องถือว่าประสิทธิภาพของ เสิร์ชเอนจินทั่วไปไม่ดีเท่าที่ควรเพราะข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคำที่คุณค้น หาจะถูกรวบรวมเข้า ไว้ด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมากเกินความ จำเป็นและไม่เกี่ยวข้องกับที่คุณต้องการ วิธีที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้คือค้นหาคำที่ต้องการโดยกำหนด ขอบเขตของหัวข้อเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การค้นหาถูกจำกัดวงให้แคบลง โดย Google ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ในส่วนที่เรียกว่า Special Google Searches ซึ่งในขณะนี้มีหัวข้อให้เลือกใน การค้นหาอยู่ 6 หัวข้อ ดังเช่น การค้นหาจากหน้าเว็บไซต์ของ US (เว็บไซต์ที่มีโดเมนเป็น .us, .gov และ .mil) หรือการค้นหาเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวกับไมโครซอฟท์ ลินุกซ์ ยูนิกซ์ หรือแอปเปิลก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน นอกเหนือไปจากนั้นยังมี University Search ที่ ช่วยค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับสถานศึกษาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกว่า 1,000 หน้าเว็บไซต์ให้เลือก

              การค้นหาโดยใช้ Special Google Searches ดังกล่าวนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้คุณได้เป็นอย่างมาก เช่น หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ DVD Writer สำหรับเครื่อง Apple แล้วคุณก็สามารถพิมพ์คำว่า Apple DVD Writer ลงไปแล้วทำการค้นหา ตามปกติคุณจะได้รับลิสต์รายการแสดงผลการค้นหากว่า 41,000 หน้าซึ่งประกอบด้วยหน้าเว็บไซต์โฆษณาขายสินค้าดังกล่าวนับไม่ถ้วน แต่หากคุณใช้การค้นหาผ่าน Special Google Searches โดยใช้เพียงคำว่า DVD-Writer ในกลุ่มของแอปเปิลคุณจะได้ ผลการค้นหาเพียง 1,500 หน้าเท่านั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยข่าวคราวความเคลื่อนไหว ทิป ผลการทดสอบ รวมไปถึงส่วนแบ่งตลาด เท่านั้นคุณสามารถใช้บริการ Special Google Searches ได้ตามลิงก์ www.google.com/options/special searches.html

? Google Toolbar
              Google Toolbar เป็นปลั๊กอินตัวหนึ่งสำหรับเว็บบราวเซอร์ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้งาน Google ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่หน้าโฮมเพจของ Google ก่อน ปัจจุบัน Google Toolbar ถูกพัฒนา ขึ้นมาถึงเวอร์ชันที่ 2 แล้ว ข้อดีของ Google Toolbar คือความสามารถพิเศษในการแสดงระดับความนิยม (Page Rank) ของหน้าอินเทอร์เน็ตหน้าต่างๆ ที่คุณกำลังเปิดใช้งานอยู่ในขณะ นั้นหรือหากคุณไม่ต้องการก็สามารถติดตั้งทูลบาร์ดังกล่าวโดยไม่ติดตั้ง Page Rank Bar ลงไปด้วยก็ได้ ซึ่งทูลบาร์ที่ว่านี้สามารถทำงานได้เฉพาะใน Internet Explorer 5.0 ขึ้นไปเท่านั้น แต่ หากคุณใช้ Netscape หรือ Internet Explorer เวอร์ชันก่อนหน้านี้คุณก็สามารถติดตั้ง Browser Button ของ Google ซึ่งจะมีฟังก์ชันบางตัวของ Google Toolbar อยู่เข้าไปในบราวเซอร์เพื่อใช้แทน ได้ (www.google.com/options/buttons.html) และพิเศษสำหรับผู้ใช้เว็บบราวเซอร์ Mozilla โดยเฉพาะ ในหน้าอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ http://google barl10n.mozdev.org/installation.html คุณสามารถพบกับทูลบาร์ของ Google ที่มีชื่อเรียกว่า Googlebar ซึ่งถูกสร้างมาเป็นพิเศษสำหรับใช้กับ Mozilla โดยเฉพาะด้วย

? ใช้ Google ช่วยในการคำนวณ
              นอก เหนือจากเป็นเสิร์ชเอนจินแล้ว Google ยังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของเครื่องคิดเลขที่คุณเคยใช้งานอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ คือ ฟังก์ชันในการคำนวณของ Google จะช่วยในการค้นหาผลลัพธ์ของสมการทางคณิตศาสตร์ให้ด้วย หากคุณพิมพ์โจทย์ปัญหา เช่น 365+12*8 ลงในช่องสำหรับการป้อนข้อมูลการค้นหาตามปกติแล้วเริ่มทำการค้นหาคุณจะได้ ผลลัพธ์เท่ากับ 461 แทนที่จะได้รายการแสดงหน้าอินเทอร์เน็ตที่ค้นพบ นอกจากสมการง่ายๆ ดังกล่าว Google ยังสามารถคำนวณสมการที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นได้อีกด้วย เช่น การพิมพ์คำ ว่า sqr จะเป็นการคำนวณค่ารากที่สองของเลขที่อยู่ถัดมา หรือเมื่อคุณต้องการคำนวณค่า 252 (25 ยกกำลัง 2) ก็สามารถทำได้โดยพิมพ์ว่า 25^2 ลงไป แม้กระทั่งฟังก์ชันตรีโกณมิติก็สามารถคำนวณได้โดยใช้ตัวย่อ sin, cos และ tan หรือการคำนวณฟังก์ชันลอกการิทึมโดยใช้เครื่องหมาย ln, lg และ lb ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติและความสามารถของ Google Calculator นี้คุณสามารถดู ได้ที่หน้า www.google.com/help/calculator.html

              นอก จากนี้แล้วการได้ลองเล่นเองก็น่าสนุกอยู่ไม่น้อย ดังเช่นที่ทีมงานได้ค้นพบบางสิ่งที่ ยังไม่ได้มีการบันทึกไว้ในหน้าเว็บไซต์ดังกล่าว คือ Google รู้จักค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์หลายต่อหลายตัว เช่น ค่าพาย (ฆ), ค่าความเร็วแสง (c), ค่าความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงโลก (G) และอื่นๆ อีกมาก หากคุณใส่สัญลักษณ์สากลของค่าคงที่ลงไป Google จะแสดงค่าดังกล่าวออกมาเป็นตัวเลข แต่คุณก็สามารถใช้ค่าคงที่ในสมการต่างๆ ได้เช่นกัน

              นอกเหนือไปจากการคำนวณที่ยุ่งยากซับซ้อน Google ก็สามารถแสดงการคำนวณพื้นฐาน ในเรื่องการเปลี่ยนหน่วยให้คุณได้ เช่น เปลี่ยนหน่วยไมล์ (Miles) หรือนิ้ว (Inches) เป็นกิโลเมตร, เมตรหรือเซนติเมตร หรือเปลี่ยนจากแคลอรีเป็นกิโลจูล หรือจากกิโลกรัมเป็นปอนด์ก็ได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่คุณพิมพ์ง่ายๆ ดังเช่นว่า "25 miles in kilometer" หรือ "50 pounds in kilogram" ซึ่งการคำนวณดังที่กล่าวมาแล้วนี้สามารถทำ ได้ในหน้าเว็บไซต์ของ Google ทุกๆ หน้า เพียงแต่คุณต้องพิมพ์ข้อความทั้งหมดในรูปแบบของภาษาอังกฤษ

? ชอปปิ้งด้วย Google : Froogle
              Google มีบริการพิเศษสำหรับนักชอปออนไลน์โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกบริการนี้กันว่า Froogle ซึ่งเป็นการนำคำว่า Google มาผสมกับคำว่า Frugal ซึ่งแปลว่าประหยัด โดยเครือข่ายของ Froogle จะมีความสามารถในการค้นหาสินค้าต่างๆ ในร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ (http://froogle.goo gle.com) การค้นหาสามารถทำได้โดยใส่ชื่อผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการโดยตรง (เช่น "Panasonic DVD S75") หรือหากคุณยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ชัดลงไป ก็สามารถดูไปเรื่อยๆ และทำการค้นหาใน แคตาล็อกของแต่ละกลุ่มสินค้า เช่น "Art & Entertainment", "Home & Garden" หรือ "Toys & Games" และคุณสามารถเรียงผลการค้นหาที่ได้จากทั้งสองวิธีนี้ตามราคา หรือเรียงเว็บไซต์ตามจำนวนสินค้าที่เสนอ แต่ปัจจุบัน Froogle ยังคงอยู่เพียงแค่ช่วงเวอร์ชัน Beta ของการพัฒนาเท่านั้น อีกทั้งยังมีเฉพาะเวอร์ชันภาษาอังกฤษเท่านั้น ยกเว้นผลการค้นหาที่เป็นสากลนั่น คือ Froogle สามารถหาหน้าเว็บไซต์ที่ให้บริการดังกล่าวได้ทั่วโลกเหมือนการ Search ทั่วไป

? ตรวจสอบราคาหุ้น
              Google.com สามารถแสดงให้คุณทราบถึงสถานภาพของหุ้นต่างๆ ที่คุณต้องการทราบได้ โดยมีข้อแม้เพียงข้อเดียวคือ หุ้นของบริษัทดังกล่าวต้อง อยู่ในตลาดหุ้นของอเมริกาวิธีการก็คือ ให้คุณใส่ชื่อของบริษัทที่คุณต้องการสำรวจราคาหุ้นลงในช่องสำหรับป้อนข้อมูล การค้นหา เช่น หากคุณพิมพ์คำว่า Microsoft ลงไป Google จะแสดงที่บรรทัดสุดท้ายของผลการค้นหาว่า "Stock Quotes: MSFT" เมื่อคุณคลิกที่บรรทัดดังกล่าว จะเป็นการนำคุณไปสู่หน้า Yahoo Finance Site ซึ่งมีข้อมูลหุ้นขณะปัจจุบันของไมโครซอฟท์แสดงอยู่ หรือในกรณีที่คุณรู้ชื่อย่อของแต่ละบริษัท (เช่น Microsoft ใช้ MSFT) ก็เพียงพอเพราะคุณสามารถเลือกที่สัญลักษณ์ "Stock Quote" ซึ่งอยู่บริเวณด้านบนของรายการต่างๆ ได้โดยตรง เพื่อนำคุณเข้าไปสู่หน้า Yahoo-Finance ได้เช่นเดียวกัน

? คำตอบจาก Google
              มีไม่กี่ครั้งที่ Google ไม่สามารถค้นหาข้อมูลให้คุณได้ตามต้องการ แต่บ่อยครั้งที่ข้อมูลที่ได้ ไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของคุณ นั่นก็เพราะว่า Google เป็นเพียงแค่เครื่องจักรธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าข้อมูลใดคือ ข้อมูลที่คุณต้องการ ดังนั้นจึงได้มีการออกแบบเครื่องจักรมีชีวิตขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิด ขึ้น ซึ่งถูกเรียกว่า Human Search Machine โดยคุณสามารถใช้บริการนี้ได้ที่หน้า http://answers. google.com ซึ่งมีวิธีดำเนินการคือ หากคุณมีคำถามซึ่งคุณพร้อมที่จะจ่ายเงินเป็นค่าคำตอบตั้งแต่ 2 ถึง 200 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาแล้ว ให้เรียบเรียงคำถามของคุณและรอให้ Google หาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบคำถามของคุณได้ เมื่อคุณได้รับคำตอบคุณก็จะถูกเก็บเงินตามราคาที่คุณได้ตั้งเอาไว้ ในการใช้บริการดังกล่าว จำเป็นที่คุณจะต้องลงทะเบียนด้วยอีเมล์ของคุณ ส่วนการจ่ายค่าบริการจะต้องจ่ายผ่านทางบัตรเครดิต จุดเด่นของบริการนี้คือคำถามทั้งหมดที่ถูกตอบไปเรียบร้อยแล้วจะถูกเก็บเอา ไว้ ซึ่งสมาชิกที่ลงทะเบียนทั้งหมดจะสามารถดูคำตอบเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเสีย เงินซ้ำอีก ถ้าคุณโชคดีอาจจะมีคำตอบอื่นที่คุณต้องการรวมอยู่ในนั้นด้วยก็ได้

วิธีการทำงานของ Google
              นับได้ว่าวิธีการจัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์หรือ Page Rank เป็นจุดสำคัญที่สร้างความสำเร็จ ให้กับ Google ได้อย่างมากมาย ก่อนที่ Google จะสามารถแสดงผลการค้นหาออกมาให้คุณเห็นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีการทำงานที่ ซับซ้อนหลายขั้นตอน
              "Crawler", "Spider" หรือ "Robots" เป็นชื่อ ของโปรแกรมที่ถูกส่งออกไปจากเสิร์ชเอนจินเพื่อ ตรวจดูความเปลี่ยนแปลงในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับหน้าเว็บใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ข้อมูลหรือลิงก์ใหม่ รวมถึงหน้าเว็บไซต์ที่ออฟไลน์ไปแล้วและลิงก์ที่ใช้การไม่ได้
              ในการทำงานจริง "Robots" ไม่ได้เคลื่อนที่ไปเองตามอินเทอร์เน็ต เพียงแค่สอบถามข้อมูล ที่ต้องการไปยังหน้าอินเทอร์เน็ตต่างๆ ในเวลากลางคืนที่การจราจรในเว็บเริ่มเบาบางลง หน้าเว็บไซต์ที่พบจะถูกประมวลผลในหลายรูปแบบ เริ่มด้วยข้อมูลพื้นฐาน (Basis Info) ที่ได้จาก Title-Tag, HTML-Head และ Meta-Tag ซึ่งเจ้าของหน้าเว็บไซต์สร้างไว้ในรูป HTML-Code สำหรับ เสิร์ชเอนจินโดยเฉพาะ

? Page Rank Algorithm : Google มีสิ่งที่รายอื่นไม่มี
              Robots มีความสามารถในการรวบรวมข้อมูลได้มากมายมหาศาล แต่จากข้อมูลที่รวบรวม มาทั้งหมดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เพียงเล็ก น้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีการหาวิธีลดขยะที่ไม่จำเป็นออกไป โดยเสิร์ชเอนจินทั่วไปสามารถ แยกข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ออกไปได้กว่า 95% โดยใช้ Indexer โดยเทคนิคที่ใช้คือ การลบสัญลักษณ์พิเศษ คำพหูพจน์และคำเชื่อมออก ไป รวมไปถึงรายการจากหน้าเว็บไซต์ข้อมูล เกี่ยวกับสแปมอีกด้วย ส่วนที่เหลือจึงมีเพียงคำ ที่คุณต้องการและลิงก์ซึ่งจะถูกเก็บไว้รวมกับชื่อ เว็บไซต์และนำเข้าไปไว้ในฐานข้อมูลแล้วแสดง ออกมาในเป็นรายการของ Internet Search Engine

              เสิร์ชเอนจินทุกตัว เช่น Alltheweb, Alta-vista หรือ Google ต่างก็มีหลักการทำงานดังที่กล่าวมานี้คล้ายๆ กัน สิ่งที่ต่างกันอยู่ที่การนำผลการค้นหาที่ได้มาแสดงเป็นรายการให้คุณเห็น ซึ่งตรงจุดนี้เป็นความลับที่ทำให้ Google ประสบความสำเร็จได้ดังที่เห็น นั่นคือวิธีการจัดลำดับความสำคัญของหน้าอินเทอร์เน็ต โดยความคิดนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว โดยนักศึกษาภาควิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Stanford ในแคลิฟอร์เนีย 2 คน ที่ชื่อว่า Sergey Brin และ Lawrance Page เกิดความคิดที่จะสร้าง Search Engine ที่ใช้หลักการทำงาน โดยการแยกหน้าอินเทอร์เน็ตที่มีความสำคัญและไม่มีความสำคัญออกจากกัน และเรียกระบบ ดังกล่าวว่า Google ซึ่งมาจากคำว่า Googol ที่แสดงถึงเลข 10100 ซึ่งการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน ดังกล่าวจะใช้ค่าที่แสดงถึงคุณภาพมาตรฐานของหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า จึงได้มีการตั้งค่าลำดับความสำคัญหรือ Page Rank ขึ้นมา และสร้างวิธีการที่สามารถคำนวณหาค่าความสำคัญ ของหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ได้ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับสมการที่ใช้ในการคำนวณหาค่า Page Rank นี้รวมถึงที่มาและวิธีการคิด มีอธิบายไว้ในหน้าเว็บไซต์ www.db.stanford.edu/pub/papers/google.pdf

              หลัง จากที่ได้เริ่มมีการใช้ PageRank นี้ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบอินเทอร์เน็ต สมการที่ใช้ในการคิดคำนวณหาค่า Page Rank ได้ถูกพัฒนาขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลอื่นนอกเหนือไปจากนี้ไม่ได้รับการเปิดเผยออกมาอีกความลับ ทุกอย่างเกี่ยวกับหัวใจของการทำงานของ Google ไม่ได้รับการแพร่งพราย เหมือนกับที่บริษัท Coca Cola ไม่ยอมเปิดเผยสูตรน้ำอัดลม ออกมาให้บริษัทอื่นได้รับรู้

              นอก จากนี้ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวกลางในการทำงานของ Google ได้แก่ การอัพเดต Google Index ประจำเดือนที่เรียกกันว่า Google-Dance ซึ่งชื่อดังกล่าวมาจากในยุคหนึ่งที่หน้าเว็บไซต์ของ Google จะเกิดปัญหาขึ้นในช่วงของการอัพเดตหน้า Index ซึ่งเป็นผล ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนเป็นเวลาหลายชั่วโมง อันดับของรายการที่ค้นพบมีการเปลี่ยนแปลงสลับกัน หรือผลการค้นหาที่ได้แตกต่างกันโดย สิ้นเชิงทั้งๆ ที่ใช้เวลาในการค้นหาต่างกันเพียง แค่ไม่กี่วินาที เหมือนกับว่าข้อมูลแต่ละตัวมีขาเต้นไปได้เรื่อยๆ ไม่อยู่กับที่

              สาเหตุ ของความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้สามารถอธิบายได้ง่ายๆ คือ Google มีศูนย์กลางการควบคุมอยู่ทั้งหมด 10 แห่ง โดยแต่ละแห่งมี Index ที่ใช้ประจำที่อยู่ เมื่อ Google ทำการค้นหาใดๆ ก็จะถูกแบ่งไปยังศูนย์กลางแต่ละแห่งตามแต่ความหนาแน่นของผู้ใช้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการค้นหาข้อมูลในระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึงนาที จะเกิดจากการทำงานของเซิร์ฟเวอร์คนละตัว ในช่วงเวลาของการอัพเดตข้อมูลของ Index ใหม่ที่จะถูกเปลี่ยนแปลงลงในเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวจะเกิดไม่พร้อมกัน จึงเป็นผลให้เกิดคามแตกต่างอย่างรุนแรงของรายการที่ค้นพบช่วงระยะเวลาหนึ่ง นั่นคือ Index "dance"

              ในหน้าเว็บไซต์ http://googledance.seochat .com มีเครื่องมือที่สามารถแสดงผลการค้นหาจากเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวของ Google ได้ ซึ่งในช่วง Google-Dance โปรแกรมดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่ารายการที่ค้นพบของเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวแตก ต่างกัน สำหรับผู้ที่อยากทดสอบการใช้งานเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวโดยเฉพาะก็สามารถเลือก เซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง โดยคุณต้องป้อนชื่อเรียกให้ถูกต้อง เช่น www-fi.google.com หรือ www-va.google.com เป็นต้น

ที่สุดในโลกที่ธรรมชาติสร้างขึ้น

ทวีปที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก....ทวีปเอเชีย  มีพื้นที่  43,938,573   ตารางกิโลเมตรหรือร้อยละ  16.2 %  ของพื้นดินทั้งโลก

ทวีปที่เล็กที่สุดในโลก....ทวีปออสเตรเลีย   มีพื้นที  7,682,705 ตารางกิโลเมตรหรือร้อยละ  5.7 %  ของพื้นดินทั้งโลก

มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก....มหาสมุทรแปรซิฟิก   มีเนื้อที่ 165,760,000  ตารางกิโลเมตร

มหาสมุทรที่เล็กที่สุดในโลก....มหาสมุทรอาร์กติก   มีเนื้อที่  14,438,000  ตารางกิโลเมตร

บริเวณที่ลึกที่สุดของมหาสมุทร....ร่องลึกมารีนา   ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เขตประเทศฟิลิปปินส์   วัดความลึกได้  10,934  เมตร

ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ทะเลจีนใต้   มีเนื้อที่  2,980,358  ตารางกิโลเมตร

ทะเลที่เล็กที่สุดในโลก....ทะเลเหลือง   มีเนื้อที่  294,533  ตารางกิโลเมตร

ทะเลสาบ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ทะเลสาบแคสเปียน   ทางตอนใต้ของรัสเซีย   ในทวีปเอเชีย   มีเนื้อที่  371,000  ตารางกิโลเมตร   ทะเลสาบแคสเปียนยังเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย

ทะเลสาบ ที่ลึกที่สุดในโลก....ทะเลสาบไปคาล   เป็นทะเลสาบน้ำจืด   อยู่ในเขตไซบีเรียประเทศรัสเซีย   จุดที่ลึกที่สุดวัดได้  1,617  เมตร

ทะเลสาบที่มีน้ำเค็มที่สุดในโลก....ทะเลสาบเดดซี   ตั้งอยู่ระหว่างประเทศอิสราเอลกับจอร์แดน

ทะเลสาบที่ตั้งอยู่บริเวณที่สูงกว่าทะเลสาบใดๆในโลก....ทะเลสาบกลาเซียล บนที่ราบสูงทิเบต   สูงกว่าระดับน้ำทะเล  1,940  เมตร 

เกาะ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก....เกาะกรีนแลนด์   ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ   เป็นเกาะที่อยู่ในความปกครองของประเทศเดนมาร์กมีพื้นที่  2,175,333  ตารางกิโลเมตร

ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก....ยอดเขาเอเวอร์เรสต์   บนเทือกเขาหิมาลัยในเขตเนปาลและทิเบต   สูงจากระดับน้ำทะเลย  8,848  เมตร

ภูเขาที่ยาวที่สุดในโลก....ภูเขาแอนดิส   ในทวีปอเมริกาใต้มีความยาว 7,564  กิโลเมตร

หมู่ เกาะที่มีจำนวนเกาะมากที่สุดในโลก....หมู่เกาะอินเดียตะวันออก   ที่บริเวณมาเลเซีย   อินโดนีเชียและบรูไน   มีจำนวนเกาะประมาณ  13,600  เกาะ   เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือ  เกาะนิวกินี

แนวหินประการังที่ยาวที่ สุดในโลก....แนวหินประการังเกรตแบริเออร์รีฟ   ทางชายฝั่งของรัฐควีนแลนด์ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย   มีความยาว  2,027  กิโลเมตร

แม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก....แม่น้ำแอ มะซอน   ในบราซิลทวีปอเมริกาใต้   ปากแม่น้ำกว้าง  272  กิโลเมตร   มีความยาว  6,400  กิโลเมตร   และได้รับฉายาให้เป็น King of The River

หุบเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก....แกรน์แคนยอน   ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา มีความยาว  2,012  เมตร  และลึกประมาณ  1,524  เมตร

หุบเขาที่ลึกที่สุดในโลก....หุบเขาเอลแคนยอนเดอโคลคา   ในเปรู   มีความลึกประมาณ  3,215  เมตร

น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก....น้ำตกแองเจล   ในเวเนซุเอลา  สูง 979 เมตร

น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก....น้ำตกไนแองการ่า   ระหว่างพรมแดนสหรัฐอเมริกากับแคนนาดา

น้ำพุร้อนที่พุ่งขี้นสูงที่สุดในโลก....น้ำพุร้อนไวแมนกุ  ในนิวซีแลนด์   พุ่งได้สูงถึง 450 เมตร

ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ถ้ำซาราวัก  แซมเบอร์   ในอุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู   ในรัฐซาราวักประเทศมาเลเซีย

ถ้ำหินปูนที่ยาวที่สุดในโลก....ถ้ำคูเอวาเดอเนอจา   ในเมืองมาลากา  สเปน  มีความยาวประมาณ 60 เมตร

ภูเขาไปที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ภูเขาไฟเมานาลัว  บนเกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา

ภูเขาไฟที่สูงที่สุดในโลก....ภูเขาไฟโอโจสเดลซาลาโด   ตั้งอยู่ระหว่างอาร์เจนตินากับชิลี   สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 6,877 เมตร

ภูเขาไฟที่อยู่เหนือสุดของโลก....ภูเขาไฟบีเรนเบิร์ก   ในเกาะกรีนแลนด์ทางขั้วโลกเหนือ  สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,277 เมตร

ภูเขา ไฟที่อยู่ใต้สุดของโลก....ภูเขาไฟอีเรบัส  บนเกาะรอสส์  ในทวีปแอนตาร์กติกาที่ขั้วโลกใต้   สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 3,795 เมตร

ภูเขาไฟที่สวยที่สุดในโลก....ภูเขาไฟฟูจิยามา ที่ญี่ปุ่น

ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ทะเลทรายซาฮารา  ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา   มีพื้นที่ประมาณ  9,064,965 ตารางกิโลเมตร

ที่ ราบสูงที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก....ที่ราบสูงทิเบต  ในเขตประเทศจีน   ตอนกลางของทวีปเอเชีย   มีพื้นที่ประมาณ 199,422 ตารางกิโลเมตร   และสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 4,877 เมตร

อ่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก....อ่าวเม็กซิโก   ทวีปอเมริกาเหนือ   มีพื้นที่ประมาณ  1,510,550  ตารางกิโลเมตร

ช่องแคบที่ยาวที่สุดในโลก....ช่องแคบตาร์ตาร์   อยู่ระหว่างเกาะซักคาลินกับรัสเซีย  มีความยาวประมาณ  805  กิโลเมตร

การบ้าน ปฏิบัติการที่ 6 SQL

h. ตอบ ให้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา และจำนวนหน่วยกิต จากตารางรายวิชา (subject)

โดยมีเงื่อนไขคือเป็นรายวิชา 104111

SELECT subjectid,name,credit
FROM subject
WHERE subjectid = 104111;
 
i. ตอบ ให้เลือกฟิลด์ทั้งหมดจากตารางรายวิชา (subject)

SELECT subjectid,name,credit,book,teacher
FROM subject;
j. ตอบ ให้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา และจำนวนหน่วยกิต จากตารางรายวิชา (subject)

SELECT subjectid,name,credit
FROM subject;
k. ตอบ ให้เลือกฟิลด์รหัสรายวิชา ชื่อรายวิชา และจำนวนหน่วยกิต จากตารางรายวิชา (subject) โดยมี
เงื่อนไขคือเป็นรายวิชา 104111

SELECT subjectid,name,credit
FROM subject
WHERE subjectid = 104111;

 
o. ตอบ ให้เลือกแสดงฟิลด์รหัสนิสิต ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตารางนักเรียน
(student) การลงทะเบียน ( register ) และรายวิชา (subject) โดยมีเงื่อนไขคือ แสดงรหัสนิสิต และแสดง
เฉพาะรายวิชาที่มีรหัส 104111 เท่านั้น
SELECT Student.Studentid,Student.Name, Register.Score,Register.Grade ,Subject.Name
FROM Register, Student,Subject
WHERE (Register.Studentid = Student.Studentid) And (Register.Subjectid = Subject.Subjectid AND
Register.Subjectid = 104111);

p. ตอบ ให้เลือกแสดงฟิลด์ รหัสนิสิต ชื่อนิสิต คะแนน เกรด และชื่อรายวิชา จากตาราง
นักเรียน(student) การลงทะเบียน(register) และรายวิชา (subject) โดยมีเงื่อนไขคือแสดงเฉพาะรายวิชา
รหัส 104111 เท่านั้น และนิสิตที่อยู่ในชมรมภูมิศาสตร์เท่านั้น

SELECT Student.Studentid,Student.Name,Register.Score,Register.Grade ,Subject.Name,Student.club
FROM Register, Student,Subject
WHERE (Register.Studentid = Student.Studentid) And (Register.Subjectid = Subject.Subjectid AND
Register.Subjectid = 104111) AND Student.club ='ภูมิศาสตร์'

10 มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



"เสาหลักของแผ่นดิน"

26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ขึ้นเป็น " จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย " มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย โดยมี 4 คณะแรกตั้ง ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ( คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์

2.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



"เป็นเลิศ เป็นธรรม ร่วมนำสังคม"

27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ริเริ่มก่อตั้ง "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.)" ขึ้น เป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทย วิชาเริ่มแรกที่เปิดสอนมี 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรธรรมศาสตรบัณฑิต ซึ่งสอนวิชากฎหมายเป็นหลัก และ วิชาการบัญชี ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น " มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"

3.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์



"ศาสตร์แห่งแผ่นดิน"

2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 "โรงเรียนช่างไหม" ได้รับการพัฒนาการเรียนการสอนจนสถาปนาขึ้นเป็น "มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ " เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทางด้านการเกษตรแห่งแรกของไทย โดยมีคณะเกษตรศาสตร์ คณะการประมง คณะวนศาสตร์ และ คณะสหกรณ์ เป็นคณะแรกตั้ง ในปัจจุบันคือ คณะเกษตร คณะประมง คณะวนศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ และ คณะเศรษฐศาสตร์

4.มหาวิทยาลัยมหิดล



"อตฺตนนํ อุปมํ กเร" (พึงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนดังปฏิบัติต่อตนเอง)

7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 มีการแยกคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล, คณะทันตแพทยศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์ และ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งเป็น "มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์" ต่อมาได้รับพระราชทานนามมหาวิทยาลัยใหม่ ว่า " มหาวิทยาลัยมหิดล "

5.มหาวิทยาลัยศิลปากร



"Arts longa vita brevis" (ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น)

12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 "โรงเรียนปราณีตศิลปกรรม" ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น " มหาวิทยาลัยศิลปากร" โดยมีคณะจิตรกรรมและประติมากรรม เป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์)

6.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่



"อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา" (บัณฑิตย่อมฝึกฝนตนเอง)

21 มกราคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย ได้แก่ " มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ " โดยมีคณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ เป็นคณะแรกตั้ง

7.มหาวิทยาลัยขอนแก่น



"วิทยา จริยา ปัญญา"

25 มกราคม พ.ศ. 2509 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตราพระราชบัญญัติ สถาปนาสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ "มหาวิทยาลัยขอนแก่น " โดยมีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะเกษตรศาสตร์ เป็นคณะแรกตั้ง

8.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์



"ขอ ให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"

12 มีนาคม พ.ศ. 2511 มีพระบรมราชโองการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคใต้ของ ประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยว่า " มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ " ตามพระนามฐานันดรศักดิ์ของสมเด็จพระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์

9.มหาวิทยาลัยรามคำแหง



"รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ"

26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 "มหาวิทยาลัยรามคำแหง " ได้รับการสถาปนาเป็นสถาบันอุดมศึกษาแบบตลาดวิชา โดยมีคณะแรกตั้ง คือ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์

10.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า



24 เมษายน พ.ศ. 2514 แบ่งออกเป็น 3 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตนนทบุรี วิทยาเขตพระนครเหนือ และวิทยาเขตธนบุรี ต่อมาได้ยกฐานะและแยกแต่ละวิทยาเขตเป็นสถาบันอุดมศึกษาอิสระต่อกัน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

ความลับของกำแพงเมืองจีน

กำแพง เมืองจีนถูกสร้างขึ้นกว่า 2000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิ์องค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยกษัตริย์องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่ เคยมีมา



ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนดังนี้

1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนุษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน

2. กำแพงเมืองจีนไม่ใช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร

3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง

4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร

5. การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฏภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก

6. กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ 300 ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ มีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง

7. กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น

8. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่า กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน

9. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คืออะไร




"โรงไฟฟ้านิวเคลียร์" คือ โรงงานผลิต กระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาแตกตัวทางนิวเคลียร์ (nuclear fission reaction) ทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำที่มีแรงดันสูง แล้วส่งไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำ ซึ่งต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อผลิตไฟฟ้า และส่งต่อไปยังผู้บริโภคต่อไป

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มี หลักการผลิตไฟฟ้าคล้ายกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทั่ว ไป กล่าวคือ จะใช้พลังงานความร้อนไปผลิตไอน้ำ แล้วส่งไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำและ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ออกมา แต่มีข้อแตกต่างกันคือ ต้นกำเนิดพลังงานความร้อนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดจากปฏิกิริยาแตกตัวของ ยูเรเนียม-๒๓๕ ในเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ส่วนความร้อนจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทั่วไปนั้นได้จากการเผาไหม้ของเชื้อ เพลิง ซึ่งได้แก่ ถ่านหินหรือลิกไนต์ ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน เมื่อเปรียบเทียบปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการ ผลิตไฟฟ้า พบว่า หากใช้ยูเรเนียมธรรมชาติ (ความเข้มข้นของยูเรเนียม-๒๓๕ ประมาณร้อยละ ๐.๗) จำนวน ๑ ตัน จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า ๔๐ ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง ในขณะที่ต้องใช้ถ่านหินถึง ๑๖,๐๐๐ ตัน หรือใช้น้ำมันถึง ๘๐,๐๐๐ บาร์เรล (ประมาณ ๑๓ ล้านลิตร) จึงจะผลิตไฟฟ้าได้เท่ากัน


การ นำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยใน พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้มีการทดลอง เดินเครื่องปฏิกรณ์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของโลกขึ้นที่สถานีทดลอง พลังงานไอดาโฮ เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ เมืองอาร์โค มลรัฐไอดาโฮ ประเทศสหรัฐอเมริกา

การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์ความดัน สูงในเชิงพาณิชย์ขนาด ๗๕ เมกะวัตต์ ได้เริ่มขึ้นที่ชิปปิงพอร์ต มลรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. ๒๔๙๗ และได้จ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เมืองพิตต์สเบิร์ก ใน พ.ศ. ๒๕๐๐

ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๒ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดรสเดน (แบบปฏิกรณ์น้ำเดือด) ได้เดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เมืองมอร์ริส มลรัฐอิลลินอยส์ หลังจากนั้น การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้ง ๒ แบบได้ขยายตัวขึ้น และแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า ๑,๐๐๐ เมกะวัตต์ และมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มี่ส่วนประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ

๑) อาคารปฏิกรณ์ ประกอบด้วย เครื่องปฏิกรณ์ เครื่องผลิตไอน้ำ เครื่องควบคุมความดัน ปั๊มน้ำระบายความร้อน อุปกรณ์อื่นๆ เช่น วัสดุกำบังรังสี ระบบควบคุมการเดินเครื่อง และระบบความปลอดภัยต่างๆ
๒) อาคารเสริมระบบปฏิกรณ์ ประกอบด้วย เครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการเดินเครื่องปฏิกรณ์ อุปกรณ์ความปลอดภัย บ่อเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้ว
๓) อาคารกังหันไอน้ำ ประกอบด้วย ชุดกังหันไอน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ
๔) สถานีไฟฟ้าแรงสูง ประกอบด้วย ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและอุปกรณ์ประกอบ
๕) อาคารฝึกหัดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย แบบจำลองสำหรับฝึกหัดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ทั้งสภาวะปกติและฉุกเฉิน
๖) อาคารระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย ระบบอุปกรณ์/ข้อมูลสำหรับ การเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
๗) หม้อแปลงไฟฟ้า ประกอบด้วย หม้อแปลงไฟฟ้าหลัก และหม้อแปลงไฟฟ้าสำรองสำหรับการเดินเครื่อง
๘) อาคารอำนวยการ ประกอบด้วย สำนักงาน ห้องทำงานต่างๆ ห้องประชุม
๙) อาคารสำนักงานและฝึกอบรม ประกอบด้วย ห้องทำงาน ห้องฝึกอบรม ห้องประชุม ห้องปฏิบัติการทางเคมี ห้องอาหาร
๑๐) อาคารรักษาความปลอดภัย เป็นอาคารทางเข้าบริเวณโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือของระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ
๑๑) อาคารโรงสูบน้ำ เป็นอาคารที่สูบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติภายนอก เพื่อนำมาควบแน่นไอน้ำในระบบผลิตไอน้ำ ประกอบด้วย ชุดปั๊มน้ำ และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ
๑๒) ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และหอระบายความร้อน (ถ้าไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่)

หลักการทำงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบ่งได้กี่แบบ

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบ่งการทำงานออก เป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ
๑) ส่วนผลิตความร้อน ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ระบบน้ำระบายความร้อน และเครื่องผลิตไอน้ำ
๒) ส่วนผลิตกระแสไฟฟ้า ประกอบด้วย กังหันไอน้ำ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยส่วนผลิตความร้อนจะส่งผ่านความร้อนให้กระบวนการผลิตไอน้ำ เพื่อนำไปใช้ผลิต ไฟฟ้าต่อไป

พิจารณาจากหลักการทำงาน อาจแบ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกได้เป็น ๓ แบบดังนี้

๑. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์ความดันสูง (Pressurized Water Reactor : PWR)
โรง ไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PWR มีหลักการทำงานคือ เมื่อเครื่องปฏิกรณ์ทำงาน จะเกิดปฏิกิริยาแตกตัวกับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ทำให้เกิดความร้อน กัมมันตรังสี และผลิตผล จากการแตกตัว (fission product) หรือกาก เชื้อเพลิง โดยความร้อนจากเชื้อเพลิงจะถ่ายเทให้แก่น้ำระบายความร้อนวงจรที่ ๑ ซึ่งไหลเวียนตลอดเวลาด้วยปั๊มน้ำ โดยมีเครื่องควบคุมความดันคอยควบคุมความดันภายในระบบให้สูงและคงที่ ส่วนน้ำที่รับความร้อนจากเชื้อเพลิงจะไหลไปยังเครื่องผลิตไอน้ำ และถ่ายเทความร้อนให้ระบบน้ำวงจรที่ ๒ ซึ่งแยกเป็นอิสระจากกัน ทำให้น้ำเดือดกลายเป็นไอน้ำแรงดันสูง และถูกส่งผ่านไปหมุนกังหันไอน้ำ และเครื่องกำเนิด ไฟฟ้าซึ่งต่ออยู่กับกังหันไอน้ำ เมื่อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุน จะเกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถนำไปใช้งานได้ต่อไป ไอน้ำแรงดันสูงที่หมุนกังหันไอน้ำแล้ว จะมีแรงดันลดลง และถูกส่งผ่านมาที่เครื่องควบแน่นไอน้ำ เมื่อไอน้ำได้รับความเย็นจากวงจรน้ำเย็นจะกลั่นตัวเป็นน้ำและส่งกลับไปยัง เครื่องผลิตไอน้ำด้วยปั๊มน้ำ เพื่อรับความร้อนจากระบบน้ำวงจรที่ ๑ วนเวียนเช่นนี้ตลอดการเดินเครื่องปฏิกรณ์
๒. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำเดือด (Boiling Water Reactor : BWR)
โรง ไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ BWR มีหลัก การทำงานคล้ายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PWR แต่มีข้อแตกต่างกันที่ส่วนผลิตความร้อน เพราะความร้อนจากเชื้อเพลิงที่ถ่ายเทให้แก่วงจรน้ำระบายความร้อน จะทำให้น้ำเดือดกลายเป็นไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำโดยตรง โดยไม่มีระบบน้ำวงจรที่ ๒ มารับความร้อน เหมือนแบบ PWR
๓. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำมวลหนัก (Pressurized Heavy Water Reactor : PHWR)
โรง ไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PHWR หรือมีชื่อทางการค้าว่า แคนดู (CANDU : CANada Deuterium Uranium) มีหลักการทำงานเหมือนโรงไฟฟ้าแบบ PWR แต่แตกต่างกันที่เครื่องปฏิกรณ์จะวางในแนวนอน ใช้ยูเรเนียมธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และใช้น้ำมวลหนัก (Heavy water : D2O) เป็นสาร ระบายความร้อนและสารหน่วงนิวตรอน

กัมมันตภาพรังสี...คืออะไร?

หลัง จากที่แผ่นดินไหวเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นก็เล่นเอาตกใจไประลอก หนึ่งแล้ว ไม่กี่วันต่อมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดซ้ำอีก แถมยังแว่วๆมาว่าสารกัมมันตภาพรังสี เกิดการรั่วไหลอีก ทำให้หลายคนอยากรู้ว่าจริงๆแล้ว สารกัมมันตภาพรังสี คืออะไรและเราจะป้องกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีได้อย่างไร 





กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เป็น คุณสมบัติของธาตุและไอโซโทปบางส่วน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นธาตุหรือไอโซโทปอื่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการปลดปล่อยหรือส่งรังสีออกมาด้วย ปรากฏการณ์นี้ได้พบครั้งแรกโดย เบคเคอเรล เมื่อปี พ.ศ. 2439 ต่อมาได้มีการพิสูจน์ทราบว่า รังสีที่แผ่ออกมาในขบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทปนั้นประกอบด้วย รังสีแอลฟา, รังสีเบต้า และรังสีแกมมา

รังสีแอลฟา
รังสี ที่ประกอบด้วยอนุภาคแอลฟาซึ่งเป็น อนุภาคที่มีมวล 4 amu มีประจุ +2 อนุภาคชนิดนี้จะถูกกั้นไว้ด้วยแผ่นกระดาษหรือเพียงแค่ผิวหนังชั้นนอกของคน เราเท่านั้น

การสลายตัวให้รังสีแอลฟา
90Th 232----->88Ra 228 + 2a 4

รังสีเบต้า
รังสี ที่ประกอบด้วยอนุภาคอิเลคตรอนหรือ โพสิตรอน รังสีนี้มีคุณสมบัติทะลุทะลวงตัวกลางได้ดีกว่ารังสีแอลฟา สามารถทะลุผ่านน้ำที่ลึกประมาณ 1 นิ้วหรือประมาณความหนาของผิวเนื้อที่ฝ่ามือได้ รังสีเบต้าจะถูกกั้นได้โดยใช้แผ่นอะลูมิเนียมชนิดบาง

การสลายตัวให้รังสีบีตา
79Au 198----->80Hg 198 + -1b 0
7N 13----->6C 13 + +1b 0

รังสีแกมมา
รังสี ที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงาน สูง มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับรังสีเอกซ์ที่สามารถทะลุผ่านร่างกายได้ การกำบังรังสีแกมมาต้องใช้วัสดุที่มีความหนาแน่นสูงเช่น ตะกั่วหรือยูเรเนียม เป็นต้น

การสลายตัวให้รังสีแกมมา
27Co 60----->-1b 0 + 28Ni 60----->28Ni60 + g

การใช้ประโยชน์จากรังสี

ปัจจุบัน ได้มีการนำรังสีและสารกัมมันตรังสีมาใช้งานต่างๆ กันเช่น ในทางการแพทย์มีการใช้ในการตรวจวินิจฉัย และบำบัดอาการโรคของผู้เจ็บป่วยจากโรคร้ายต่างๆ เช่น การฉายรังสีเอกซ์ การตรวจสมอง การตรวจกระดูก และการบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีการใช้งานทางรังสีในกิจการอุตสาหกรรม การเกษตร และการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น การใช้รังสีตรวจสอบรอยเชื่อม รอยร้าวในชิ้นส่วนโลหะต่างๆ การใช้ป้ายเรืองแสงในที่มืด การตรวจอายุวัตถุโบราณ การถนอมอาหารด้วยรังสี และการฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือแพทย์

อันตรายจากรังสี

แม้ รังสีจะมีอยู่ล้อมรอบตัวเรา และมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้ แต่รังสีก็นับได้ว่ามีความเป็นพิษภัยในตัวเองเช่นกัน รังสีมีความสามารถก่อให้เกิดความเสียหายของเซลล์สิ่งมีชีวิต และถ้าได้รับรังสีสูงมากอาจทำให้มีอาการป่วยทางรังสีได้ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันตัวเองและสาธารณชนไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีเลย

ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต

รังสี ที่แผ่ออกจากธาตุ กัมมันตรังสีเมื่อผ่านเข้าไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่รังสีผ่านไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต 2 แบบ คือ

- ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung) เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia) เกิดต้อกระจก (cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับส่วนของ ร่างกายที่ได้ และอายุของผู้ได้รับรังสี ดังนั้นผู้ได้รับรังสีมีอายุน้อยแล้วอันตรายเนื่องจากรังสีจะมีมากกว่าผู้ ที่มีอายุมาก ในทารกแรกเกิดแล้วอาจได้รับอันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิตได้

- ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ คือ ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้

การป้องกันรังสี


รังสี ทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น จึงต้องทำการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสี หรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวข้องกับรังสีแล้ว ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้

- เวลาของการเผย (time of exposure) โดยใช้เวลาในการทำงานในบริเวณที่มีรังสีให้สั้นที่สุด เพราะปริมาณกำหนดของรังสีจะแปรตรงกับเวลาของการเผย

- ระยะทาง (distance) การทำงานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีมาก ๆ ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง คือ เมื่อ d คือระยะทาง

- เครื่องกำบัง (shielding) เครื่อ งกำบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกำเนิดรังสีจะดูดกลืนบางส่วนของ รังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้ ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสีและต้องใช้เวลานานในการ ปฏิบัติงาน เราจำเป็นต้องใช้เครื่องกำบังช่วยเครื่องกำบังที่ดีควรเป็นพวกโลหะหนัก เพราะว่าโลหะ หนักจะมีอิเล็กตรอนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้รังสีเมื่อวิ่งมาชนกับอิเล็กตรอนแล้วจะสูญเสียพลังงานไปหมด ตัวอย่างของเครื่องกำบังเช่น แผ่นตะกั่ว แผ่นเหล็ก แผ่นคอนกรีต ใช้เป็นเครื่องกำบังพวกรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา แผ่นลูไซท์ควอทซ์ ใช้เป็นเครื่องกำบังรังสีเบตาได้ อากาศและแผ่นกระดาษ อาจใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคอัลฟา ส่วนน้ำและพาราฟินใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคนิวตรอนได้



 

"เหตุใดในหลวงจึงไม่โปรดเสวยปลานิล"

















"เหตุใดในหลวงจึงไม่โปรดเสวยปลานิล"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเสวยปลานิล
ทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย
จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น โดยไม่รับสั่งอะไรเลย

จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่า
เพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล มีรับสั่งว่า
“ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร”

มาดูประวัติปลานิลกันครับ




ถิ่นกำเนิด


ปลา นิลสามารถอาศัยอยู่ได้ในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่ทวีปแอฟริกา พบทั่วไปตามหนอง บึง และทะเลสาบในประเทศซูดาน, ยูกันดา และทะเลสาบแทนกันยีกา

ปลานิลเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกโดย สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทรงจัดส่งเข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 จำนวน 50 ตัว ครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองเลี้ยงปลานิลในบ่อภายในสวนจิตรลดา เป็นหนึ่งโครงการในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา

ผลการทดลอง ปรากฏว่าปลานิลที่ทรงโปรดเกล้าให้ทดลองเลี้ยงได้เจริญเติบโตและแพร่ขยาย พันธุ์ได้เป็นอย่างดี ต่อมาจึงได้พระราชทานชื่อว่า ปลานิล (โดยมีที่มาจากชื่อแม่น้ำไนล์ (Nile) ที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิม หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Tilapia nilotica) และพระราชทานพันธุ์ปลาดังกล่าวให้กับกรมประมงจำนวนหนึ่ง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2509 เพื่อนำไปขยายพันธุ์และแจกจ่ายแก่พสกนิกร และปล่อยลงไว้ตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ตามที่เห็นว่าเหมาะสม เนื่องจากปลานิลมีคุณลักษณะพิเศษหลายอย่าง เช่น กินอาหารได้ทุกชนิด เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์น้ำเล็ก ๆ มีขนาดลำตัวใหญ่ ความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร แพร่ขยายพันธุ์ง่าย และมีรสชาติดี

ใน ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้ทดลองเลี้ยงและแพร่ขยายพันธุ์ปลานิลในบ่อสวนจิตรลดาต่อไป ในทางวิชาการเรียกสายพันธุ์ปลานิลดังกล่าวว่า ปลานิลจิตรลดา ซึ่งยังคงเป็นปลานิลสายพันธุ์แท้ที่ประเทศไทยได้รับทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ

ลักษณะทั่วไป

ปลา นิลมีเป็นรูปร่างคล้ายปลาหมอเทศ (O. mossambicus) แตกกันที่ปลานิลมีลายสีดำและจุดสีขาวสลับกันไป บริเวณครีบหลัง ครีบก้นและลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล มีลายดำพาดขวางตามลำตัว มีความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร

อาหาร

ปลานิลกินอาหารได้หลากหลาย เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลง กุ้งฝอย ผักบุ้ง หรือจะเรียกได้ว่า ว่ายไปเจออะไรก็กินได้หมด

นิสัย

ปลา นิลมีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง (ยกเว้นเวลาสืบพันธุ์) มีความอดทนและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี จากการศึกษาพบว่าปลานิลทนต่อความเค็มได้ถึง 20 ส่วนในพัน ทนต่อค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ได้ดีในช่วง 6.5-8.3 และสามารถทนต่ออุณหภูมิได้ถึง 40 องศาเซลเซียส แต่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส พบว่าปลานิลปรับตัวและเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก ทั้งนี้เป็นเพราะถิ่นกำเนิดเดิมของปลาชนิดนี้อยู่ในเขตร้อน
การสืบพันธุ์

ปลา นิลสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี โดยใช้เวลา 2-3 เดือนต่อครั้ง แต่ถ้าอาหารเพียงพอและเหมาะสม ในระยะเวลา 1 ปี จะผสมพันธุ์ได้ 5-6 ครั้ง โดยตัวผู้จะใช้บริเวณหน้าผากดุนที่ใต้ท้องของตัวเมีย เพื่อเป็นการกระตุ้นและเร่งเร้าให้ตัวเมียวางไข่ ปลาตัวเมียจะวางไข่ออกมาครั้งละ 10 หรือ 12 ฟอง ในขณะเดียวกันปลาตัวผู้ก็จะว่ายคลอคู่เคียงกันไปพร้อมกับปล่อยน้ำเชื้อผสม กับไข่นั้น ทำอยู่เช่นนี้จนกว่าการผสมพันธุ์จะแล้วเสร็จ

ไข่ที่ได้ รับการผสมกับน้ำเชื้อแล้วปลาตัวเมียจะเก็บไว้ฟัก โดยวิธีอมไข่เข้าไว้ในปาก แล้วว่ายออกจากรังไปยังบริเวณก้นบ่อที่ลึกกว่า ส่วนตัวผู้ก็จะคอยหาโอกาสเวียนว่ายไปเคล้าเคลียกับตัวเมียอื่น ๆ ต่อไป แม่ปลานิลจะอมไข่ไว้ในปากเป็นเวลา 4-5 วัน ไข่จะเริ่มฟักออกเป็นตัว ลูกปลาที่ฟักออกเป็นตัวใหม่ ๆ จะอาศัยอาหารจากถุงอาหารธรรมชาติซึ่งติดอยู่ที่ท้อง ขณะเดียวกันแม่ปลายังคงต้องอมลูกปลาอยู่ต่อไป จนกระทั่งถุงอาหารธรรมชาติของลูกปลายุบหายไป

หลังจากฟักออกเป็นตัว แล้วประมาณ 3-4 วัน แม่ปลาก็จะคายลูกปลาให้ว่ายออกมาจากปาก ลูกปลาในระยะนี้สามารถกินอาหารจำพวกพืชและไรน้ำเล็ก ๆ ซึ่งมีอยู่ในน้ำ โดยจะว่ายวนเวียนอยู่ที่บริเวณหัวของแม่ปลา และจะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในช่องปากเมื่อต้องการหลบหลีกอันตราย โดยลูกปลาจะเข้าทางปากหรือช่องเหงือก หลังจากลูกปลามีอายุ 1 สัปดาห์ จึงจะเลิกหลบเข้าไปซ่อนในช่องปากของแม่ แต่แม่ปลาก็ยังคอยระวังศัตรูให้ โดยว่ายวนเวียนอยู่ใกล้บริเวณที่ลูกปลาหาอาหารกินอยู่ ปลานิลจะรู้จักวิธีหาอาหารกินได้เองเมื่อมีอายุได้ 3 สัปดาห์ และมักจะว่ายกินอาหารรวมกันเป็นฝูง
การพัฒนาสายพันธุ์

    ปลานิลแดง เป็นการพัฒนาสายพันธุ์จากปลานิลธรรมดา ๆ ของศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดของจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดขอนแก่น โดย ดร.ปกรณ์ อุ่นประเสริฐ ได้ปลาที่มีลักษณะเป็นปลาที่มีสีขาวอมแดง จึงขึ้นทูลเกล้าฯถวาย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และได้รับการพระราชทานนามว่า "ปลานิลแดง" มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522

    ปลาทับทิม เป็น การพัฒนาสายพันธุ์โดย เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ บริษัท ซีพี ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน จนได้ปลานิลสายพันธุ์ใหม่ที่อดทน สามารถเลี้ยงได้ดีในน้ำกร่อยได้ เนื้อแน่นมีรสชาติอร่อยกว่าปลานิลธรรมดา เนื่องจากมีสีขาวอมแดงเรื่อ ๆ คล้ายทับทิม จึงได้รับการพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "ปลาทับทิม"

    ปลานิลซูเปอร์เมล หรือ ปลานิลเพศผู้ GMT เป็นการพัฒนาสายพันธุ์จนได้ปลาเพศผู้ทั้งหมด โดยทำการดัดแปลงโครโมโซม ซึ่งปลานิลซูเปอร์เมลให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าปลานิลทั่วไป

รู้ไหมว่า...ใครครอบครองจุดลึกที่สุดในโลก





  ขณะ ที่ผู้คนนับพันสามารถไต่พิชิตยอดเขา “เอเวอเรสต์” จุดสูงสุดของโลกได้ แต่มีมนุษย์เพียง 2 คนที่เคยดำดิ่งสัมผัสจุดที่ลึกที่สุดในโลก
     
       จุดที่ว่าคือ “ชาเลนเจอร์ ดีป” (Challenger Deep) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เรียกว่า “มาเรียนา เทรนช์” (Mariana Trench) หรือ ร่องลึกมหาสมุทรมาเรียนา ห่างไปทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ประมาณ 200 กิโลเมตร ร่องลึกแห่งนี้มีรูปคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เหมือนเป็นรอยแผลของโลก
     
       แนวยาวของเทรนช์วัดได้ 2,500 กิโลเมตร และกว้าง 69 กิโลเมตร จุดที่ลึกที่สุดคือชาเลนเจอร์ ดีป มีความลึก 11 กิโลเมตร ถ้านำยอดเขาเอเวอเรสต์หย่อนลงไปในมาเรียนาเทรนช์ ยอดเขาก็จะโผล่ออกมาจากรอยแยกประมาณ 1.6 กิโลเมตร
     
       ร่องลึกมหาสมุทรแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพื้นทะเลที่แยกยาว มาจากแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นมุดเข้าหากัน จนเกิดการปะทะ และกลายเป็นรอยแยกใต้มหาสมุทร
     
       ความลึกของมาเรียนาเทรนช์ มีการวัดครั้งแรกเมื่อปี 1875 โดยเรือรบหลวงแห่งสหราชอาณาจักร เอช เอ็ม เอส ชาเลนเจอร์ (H.M.S. Challenger) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประจำเรือวัดความลึกได้ที่ 4,475 ฟาธอม (ประมาณ 8 กิโลเมตร)
     
       จากนั้นในปี 1951 เรือ เอช เอ็ม เอส ชาเลนเจอร์ ทู (H.M.S. Challenger II) ก็กลับมาวัดใหม่ โดยใช้การหยั่งจากการสะท้อนของเสียง วัดความลึกได้ประมาณ 11 กิโลเมตร
     
       พื้นที่ส่วนใหญ่ของมาเรียนาเทรนช์เป็นเขตป้องกันของสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางทะเล (Marianas Trench Marine National Monument) ซึ่งในปี 2009 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ประกาศอนุญาตให้เข้ามาดำเนินการวิจัยได้
     
       แต่ในส่วนของชาเลนเจอร์ ดีปเป็นเขตปกครองของประเทศไมโครซีเนีย (Federated States of Micronesia) ที่ทีมสำรวจจุดลึกสุดในโลก ต้องขออนุญาตทำงานวิจัยผ่านหน่วยงานรัฐบาลของไมโครซีเนียก่อน

 

ออกซิเจนในอากาศมีมากใช่จะดี

7 เว็บค้นหาที่เก่งกาจกว่า ...Google

7 เว็บค้นหาที่เก่งกาจกว่ากูเกิล‏

คน ทั่วโลกรู้จักและติดใจ “กูเกิล” จนทำให้คำว่า “กูเกิล” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อแบรนด์ของบริษัทอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็วที่สุดใน โลก แต่กลับเป็นชื่อของ “กริยา” ในการค้นหาข้อมูลบนโลกไซเบอร์ไปเสียแล้ว จึงมีคำพูดติดปากชาวเน็ตเวลาที่หาข้อมูลใดๆ ไม่เจอว่า “ลองกูเกิลดูหรือยัง?”

แต่วันนี้เรามีเว็บค้นหาที่เป็นทางเลือกใหม่ (Alternative Search Engine) สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ของสิ่งที่ต้องการค้นหาได้ อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น หารูปก็จะได้รูป หาเพลงก็จะได้ฟังเพลง หาเอกสารก็จะได้ไฟล์ PDF โดยที่ไม่ต้องคลิกสารพัดลิงก์ไปมา พร้อมสแกนกันจนปวดตาอีกทีหนึ่ง

อย่างไรก็ดี สำหรับเซียนคอมฯ ที่รู้จักวิธีการ “แฮกกูเกิล” ด้วย การใส่โค้ดลับหลายสิบตัวลงไปในช่องค้นหาเพื่อที่จะได้ข้อมูลใดๆ จากกูเกิล ก็อยากให้มาลองใช้เว็บที่เราแนะนำในครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะติดใจวิธีค้นหาแบบบ้านๆ แต่ได้ผลชะงัดก็เป็นได้

เว็บที่เราจะแนะนำในครั้งนี้จะแบ่งผลการค้นหาออกเป็น  4  ประเภทใหญ่ๆ คือ การค้นหา ภาพ เพลง วิดีโอ และเอกสาร

ถ้าคิดคีย์เวิร์ดเจ๋งๆ ได้แล้วก็ลุยกันเลย!

ค้นหาเพลง

1. http://www.songza.com

เป็น เว็บไซต์ที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายๆ ทุกครั้งที่พิมพ์คำค้นหาจะมีคำใกล้เคียงขึ้นมาแสดงให้ด้วย และทุกเพลงจะสามารถดูมิวสิกวิดีโอประกอบไปด้วยได้ เพราะเพลงที่ได้ฟังนั้นเป็นการดึงเสียงเพลงมาจากเว็บวิดีโอชื่อดังต่างๆ นั่นเอง สุดท้ายก็คือ สามารถคัดลอกโค้ดเพลงไปติดไว้ที่บล็อกของตัวเองได้อีกด้วย

2 . http://www.midomi.com
สำหรับ คนที่มักประสบปัญหาอยากฟังเพลงใดเพลงหนึ่ง กลับนึกชื่อเพลงไม่ออก แต่สามารถร้องเพลงนั้นได้ เว็บนี้ก็เหมาะกับคุณเป็นที่สุด เพียงแค่คอมพิวเตอร์ของคุณมีไมค์ และเปล่งเสียงของตัวเองร้องเพลงนั้น ท่อนใดก็ได้ ประมาณ 10 วินาที ระบบก็จะค้นหาเพลงนั้นๆ หรือเพลงใกล้เคียงมาให้ด้วย

จาก ที่ทดลองสามารถหาเพลงทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และฝรั่งได้หมด นอกจากนี้แล้วคุณยังฟังเสียงร้องเพลงของผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ร่วมหาเพลงๆเดียวกับคุณได้ด้วย โดยคลิกที่ปุ่ม Play All Recordings

*******หมายเหตุ:

1. เมื่อใช้ครั้งแรก หลังจากคลิกที่ปุ่ม “Click and Sing or Hum” จะมีหน้าต่างเล็กๆ เปิดขึ้นมา โดยที่คุณจะต้องกด จะต้องกดปุ่ม “Allow” กับ Adobe Flash Player Setting ก่อน

2. ผู้ที่ใช้ไอโฟนสามารถโหลดโปรแกรมของ midomi มาลงที่เครื่องและใช้งานแบบเดียวกับการค้นหาเพลงผ่านเว็บด้วยการฮัม หรือร้องเพลงได้เลย ที่นี่

ค้นหารูป

ก่อน อื่นต้องเรียนก่อนว่า การค้นหารูปนั้นควรจะใช้คำค้นหา (keywords) ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะได้ผลลัพธ์มากกว่าภาษาไทย และเว็บที่เราอยากจะแนะนำสำหรับการค้นหารูป นั้น มี 2 รูปแบบ คือ ภาพถ่ายฝีมือช่างภาพมืออาชีพ และมือสมัครเล่น

3. http://www.compfight.com

เว็บไซต์ นี้จะค้นหาภาพโดยการดึงเอารูปภาพจากคลังภาพออนไลน์อย่าง ฟลิกเกอร์ (Flickr) ที่เปิดให้ใครก็ได้มาเก็บภาพไว้ที่นี่ (จึงทำให้เว็บไซต์ฟลิกเกอร์เป็นเว็บไซต์แกลอรี่ภาพจากมือสมัครเล่นที่ใหญ่ ที่สุดในโลก)

โดยผลการค้นหาของ compfight จะต่างจากการค้นหาที่เว็บฟลิกเกอร์ต้นฉบับก็คือ การแสดงผลภาพเป็นร้อยๆ ภาพในคราวเดียว ทำให้เลือกภาพได้ไวยิ่งขึ้น และยังสามารถปรับแต่งการค้นหาได้มากมาย เช่น การค้นหาจากชื่อ และรายละเอียดของภาพ หรือการค้นหาจากป้ายกำกับภาพ (Tags),การค้นหาภาพตามรูปแบบลิขสิทธ์ (Creative Commons), การค้นหาเฉพาะภาพที่มีความละเอียดสูง, และการค้นหาเฉพาะภาพที่เหมาะสมกับเยาวชน เป็นต้น

4. http://www.spffy.com

เว็บ นี้เป็นการค้นหาภาพที่ถ่ายจากมืออาชีพจริงๆ โดยค้นหาครั้งเดียว สามารถดูภาพจากคลังภาพออนไลน์เพื่อการใช้งานทางการค้า ที่มีชื่อเสียงอย่าง Getty Images, Corbis, Fotolia ฯลฯ ได้เลย ซึ่งเมื่อใดที่คุณพบภาพที่ต้องการสามารถสั่งซื้อภาพนั้นๆได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาภาพประกอบเพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์

ค้นหาเอกสาร

5. http://www.data-sheet.net

เว็บไซต์ นี้มีหน้าตาเรียบๆ ไม่ต่างไปจาก “กูเกิล” แต่จะแสดงผลการค้นหาเป็นไฟล์เอกสารนามสกุล PDF เท่านั้น คุณสามารถพิมพ์คำค้นหาทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษได้ เมื่อเจอผลการค้นหาใดที่ต้องการดาวน์โหลด ให้คลิกขวา และเลือก Save Link As ได้ทันที ก็จะได้ไฟล์เอกสารมาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ทันที

เท่านั้นยังไม่พอเว็บไซต์นี้ยังมีผลการค้นหาในรูปแบบของภาพแถมเพิ่มมาที่ด้านล่างสุดของหน้าเพจแต่ละหน้าด้วย

นอก จากนี้แล้วก็ยังมีเว็บไซต์ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้าไปอัปโหลดไฟล์ เอกสารของตนเองที่ต้องการเผยแพร่สู่สาธารณะชนได้นำไปใช้ประโยชน์ นั่นคือ Scribd (ที่เราเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้)

ค้นหาวิดีโอ

6.http://www.truveo.com

เป็น ธรรมดาที่ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่จะคิดว่า “ยูทูบ (YouTube)” คือ สุดยอดเว็บวิดีโอสำหรับทศวรรษใหม่ในโลกอินเทอร์เน็ต แต่อีกหลายมุมของโลกนี้ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์วิดีโอ ที่เปิดให้ใครก็ได้มาอัปโหลดผลงานวิดีโอของตนเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้ อาทิ Daily Motion (ของฝรั่งเศส), Tudou (ของจีน) และอื่นๆ อีกมาก

ดังนั้นจะดีแค่ไหนที่เราสามารถพิมพ์คำที่ต้องการหาแค่ครั้งเดียวแต่สามารถค้นหาได้กว่า 40 เว็บไซต์ที่เก็บวิดีโอเอาไว้!

ต้อง ขอบคุณ truveo จากบริษัทเอโอแอล (AOL) ที่ตั้งตนเป็นเว็บค้นหาวิดีโอโดยเฉพาะ โดยเว็บไซต์นี้จะดึงผลวิดีโอของกว่า 40 เว็บวิดีโอชื่อดังมาแสดงไว้ที่นี่ นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาวิดีโอคลิปของ หนัง กีฬา ซีรีส์ดัง อย่าง ฮีโร่ (Heroes), ลอส (Lost) หรือแม้กระทั่งเรียลริตี้อเมริกันชื่อดังอย่าง อเมริกัน ไอดอล (American Idol) และ เฮล คิทเช่น (Hell’s Kitchen) ได้

อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ในทุกครั้งที่คุณต้องการชมวิดีโอใดๆ ก็จะมีการลิงก์กลับไปยังเว็บต้นตอวิดีโออีกครั้งหนึ่ง

ค้นหาแบบมีรสชาติ

7.http://www.viewzi.com

Viewzi คือ เว็บค้นหาที่จะทำให้คุณลืมหน้าตาของ “กูเกิล.คอม” ไปแทบจะทันที ด้วยการแสดงผลการค้นหาที่หวือหวาและน่าตื่นเต้น ทั้งภาพ ข้อมูล และวิดีโอ ที่แตกต่างกันไปถึง 16 แบบ ทำให้คุณเพลิดเพลินกับการเซิร์ฟเน็ตอย่างหยุดไม่อยู่ อาทิ การแสดงผลการค้นหาตามลำดับเวลา (Timeline) การค้นหาข่าวที่แสดงผลเหมือนหน้าหนังสือพิมพ์ การดูภาพแบบสไลด์โชว์ การค้นหาเมนูอาหารน่าหม่ำ เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

   

        เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
    
     ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด - เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณา
เขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ
ภูเขาทะเล
ดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์
        เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่ บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า
เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วย
สาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาด
มหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา

เรือกูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอ กับพลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตรายมาได้
ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
          สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
          เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก
รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า
ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

 

เครื่องบินแบบเดียวกับเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ของฝูงบินที่ 19 ที่หายสาบสูญไปทั้งฝูง พร้อมทั้งชีวิตนักบินและพลเรือนประจำ

เครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945

 




เครื่องบินแบบ kc 135 ของกองทัพอากาศสหรัฐได้หายไป 2 เครื่องในเวลาเดียวกันเมื่อเดิน สิงหาคม 1963
          อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยา-
ยามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสาม -
เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้
วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ
          ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง
         ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและ -
แหล่งหินประการัง
มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว
          อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว
         ปรากฏารณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ รผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบ แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป
          การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน



แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน
หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้
แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้
แอปเปิ้ลสีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย
แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก